วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Halloween

เขียนโดย My self ที่ 04:33
                                                 ตำนานวัน Halloween



" trick or treat ! " พูดถึงคำนี้ทุกคนคงคิดถึงอะไรไปไม่ได้นอกจากเทศกาลHalloween เทศกาลผีๆของฝรั่ง วันที่ผู้คนออกมาแต่งตัวเป็นชุดผี โดยเฉพาะเด็กๆที่พากันแต่งชุดผีออกไปเคาะตามประตูบ้านคนอื่น ๆ แล้วเอ่ยคำว่า " trick or treat ! " เพื่อขอขนม ของขวัญ หรือสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อยที่เจ้าของบ้านจะหยิบยื่นให้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ทุกครั้งเสมอไป แต่ถ้าได้ก็จะขอบคุณและ อวยพรขอให้เจ้าของบ้านนั้นๆรอดพ้นจากภูติผี ปีศาจ หรือคำสาป ภยันตรายต่างๆทั้งปวง แต่ใครจะทราบถึงประวัติความเป็นมาของเทศกาลนี้กันบ้างว่าทำผู้คนต้องพากันแต่งตัวเลียนแบบผีกันทั้งบ้านทั้งเมือง 
งานฮาโลวีนทีมีในปัจจุบันนั้นเชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเคลต์ (Celts) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่เรียกว่า Samhainคำนี้หมายถึงวันสิ้นสุดฤดูร้อน และเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตายด้วย วันนี้จะเป็นวันที่เส้นกั้นเขตแดนระหว่างคนเป็นกับคนตายเปราะบางมากที่สุด และเหล่าวิญญาณจะออกมาปะปนกับผู้คนบนโลกมนุษย์ได้ ค่ำคืนวันที่ 31 ตุลาคมซึ่งเป็นคืนก่อนวันฉลอง Samhain จะเรียกวิญญาณของผู้ที่ตายในปีนั้นทั้งหมดขึ้นมาปรากฎตัวบนโลกบ้างก็ว่าเพื่อให้ผู้ตายไปเยี่ยมญาติ บ้างก็ว่าเพื่อให้ผู้ที่ถูกพิพากษาให้เข้าสิงสถิตในร่างสัตว์ขึ้นมาหาร่างใหม่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ทำให้ผู้คนชาวเซลท์ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ก็จะพากันแต่งตัวเป็นผีปีศาจหลากหลายประเภท มีการจัดเดินขบวนพาเหรดผี และส่งเสียงดังรอบๆ บ้านของเพื่อนบ้าน ทำบรรยากาศให้น่ากลัวเท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังว่า เหล่าจิตวิญญาณที่จะคอยจ้องจะมาสิงเข้าร่างของพวกเขาจะเกิดความกลัวและหนีไปเพราะความตกใจในที่สุด  
นอกจากนี้คืนดังกล่าวจะเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวและอาจมีการนำสัตว์หรือพืชผลมาบูชายัญ ให้กับเหล่าภูติผีและวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับและจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์ ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลองของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 ได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Dayสำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมหรือ Hallow's Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween

           ประเพณีของวันฮาโลวีน นี้ได้นำเข้ามาเผยแพร่ใน อเมริกา ตอนปี ค.ศ.1840 โดยคนอังกฤษที่ได้หลบหนีเข้าประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นในประเทศอังกฤษได้มีพวกที่นิยมแต่งตัวประหลาดแล้วยังรวมไปถึงการเดินเหยียบย่ำและพังรั้วบ้าน แต่ประเพณีของการหยอกเล่นให้กลัวนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกิดมาจากคนกลุ่มเซลท์จากไอร์แลนด์ แต่ช่วงศตวรรษที่ 9 คนยุโรป ได้ตั้งชื่อเรียกว่า วันจิตวิญญาณ คือวันที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายน จะมีการเดินขบวนจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อที่จะขอขนมเค้กแห่งจิตวิณญาณซึ่งทำมาจากขนมปังทรงสี่เหลี่ยมและใส่ลูกเกดด้วย ยิ่งขอขนมได้มากเท่าไร คำอธิฐานของผู้ที่ให้ขนมก็จะฝากมากับผู้ขอบริจาคขนมมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เหมือนกับว่าผู้ขอขนมจะต้องเป็นตัวแทนในการที่จะพูดคุยกับคนตายที่เป็นญาติกับผู้ที่บริจาคขนม ในเวลานั้นมีความเชื่อว่าคนตายนั้นจะถูกกักกันไว้ในนรก และถ้ามีผู้มอบส่วนบุญให้ ถึงแม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม มันจะช่วยเร่งและปลดปล่อยให้พวกวิญญาณเหล่านั้นขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ 
เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับตำนานวันฮาโลวีน ดูแล้วก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะคะ แต่เรื่องราวในวันฮาโลวีนคงยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แน่ๆ ถ้าหากเราจะไม่เล่าถึงตำนานตะเกียงฟักทองหรือ ประเพณีแจ็ค โอ แลนเทริน (Jack-O-Lanterns) ตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ซึ่งได้เล่าไว้ว่า มีผู้ชายชื่อว่าแจ็ค โอ แลนเทริน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องดื่มเหล้าเมายาและมีกลลวงมากมาย เคยหลอกให้ซาตานปีนขึ้นไปบนต้นไม้ หลังจากนั้นแจ็คก็จะจัดการแกะสลักรูปไม้กางเขนลงไปบนลำต้นของต้นไม้นั้น ซึ่งทำให้ซาตานลงจากต้นไม้ไม่ได้ แล้วแจ็คก็ได้ทำการต่อรองกับซาตานว่าถ้าซาตานจะไม่จับตัวเขาไปเขาสัญญาว่าจะปล่อยซาตานลงจากต้นไม้นั้น หลังจากแจ็ค โอ แลนเทริน ได้ตายไปแล้ว เขาปฏิเสธที่จะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะไปอยู่ที่นรกเพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับซาตานไว้ดั้งนั้นซาตานได้ให้ถ่านไฟแก่เขาหนึ่งก้อนแทน เพื่อที่จะให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดและหนาวเย็น ถ่านไฟก้อนนั้นได้ถูกใส่ไว้ข้างในของผักกาดที่กลวงแล้วเพื่อที่จะให้มันจุดอยู่ได้นาน คนอังกฤษใช้ผักกาดกลวงนี้ตามแบบอย่างดั้งเดิมของ แจ็ค โอ แลนเทรินแต่เมื่อมีการโยกย้ายไปสู่อเมริกาพวกเขาพบว่าฟักทองนั้นสามารถหาได้ง่ายกว่าผักกาด ดังนั้นรูปแบบแจ็ค โอ แลนเทรินในอเมริกาจะอยู่ในรูปของฟักทองกลวงและใส่ถ่านไฟไว้ข้างใน 

          ในทุกๆวันนี้มีโบสถ์เป็นจำนวนมากที่ได้มีการจัดงานปาร์ตี้วันฮาโลวีน รวมถึงสถานบันเทิงต่างๆ อีกหลายแห่งยังไงก็อย่าลืม “เมาไม่ขับ” นะคะจะได้ฉลองปาร์ตี้ฮาโลวีนกันได้สนุกแถมยังไม่สร้างปัญหาให้สังคมด้วย


แหล่งที่มา
http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_01329.php

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Smile Copyright © 2012 Design by Antonia Sundrani Vinte e poucos